สำหรับการรับประทานอาหารในช่วงฤดูหนาวเราควรเลือกรับประทานอาหารที่ร้อนและปรุง
เสร็จใหม่ๆ ควรมีรสเปรี้ยวอมขมเล็กน้อย และรสเผ็ด เช่น แกงส้มดอกแค แกงขี้เหล็ก
แกงป่า สะเดาน้ำปลาหวาน และน้ำพริก เพราะธรรมชาติจะปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล
ผักพื้นบ้านและพืชสมุนไพรในฤดูต่างๆ ก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน
ในฤดูหนาว
มักจะมีสมุนไพรพื้นบ้าน เช่น สะเดา ซึ่งมีรสขม เมื่อกินแล้วจะช่วยแก้ไข้
ทำให้เจริญอาหาร ขี้เหล็กมีสรรพคุณช่วยระบาย ดอกแคแก้ไข้หัวลม
เราควรเลือกรับประทานผักพื้นบ้านที่มีอยู่ตามฤดูกาล
ส่วนการเลือกเครื่องดื่มในช่วงหน้าหนาวนี้ ควรจะเป็นเครื่องดื่มร้อน ๆ เช่น น้ำขิง
ชาสมุนไพร เพื่อช่วยให้ชุ่มคอ ลดอาการไอ แก้หวัด ซึ่งป้องกันการเป็นหวัดในช่วงนี้ได้อีกทางหนึ่งด้วย
หน้าหนาวควรดูแลร่างกายอย่างไร
ด้วย
อากาศที่หนาวเย็น เราควรอาบน้ำด้วยน้ำอุ่นและเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่หนา
แต่บางครั้งการอาบน้ำอุ่นจะทำให้ผิวแห้งง่ายกว่าอาบน้ำเย็น
เพราะน้ำมันที่ผิวหนังจะถูกชะล้างออกไป รวมทั้งความชื้นของอากาศที่ลดลง
ก็จะเพิ่มให้ผิวแห้งแตกและคันได้ง่าย
ดังนั้นเราควรจะดูแลร่างกายในช่วงหน้าหนาวนี้เป็นพิเศษโดยสามารถนำเอาสมุนไพรพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้ดูแลผิวพรรณ อย่าง น้ำมันงา ขมิ้นชัน
ผิวมะนาว และผิวมะกรูด
สมุนไพรดูแลผิวพรรณ
-
น้ำมันงา นำงาดิบประมาณ 1 ถ้วย โขลกให้ละเอียด บีบเอาน้ำมันจากงาเก็บไว้ในขวด
ทาผิวตอนเช้าและก่อนนอน น้ำมันงาจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดอาการแห้งแตกและคัน
-
ขมิ้นชัน มีสรรพคุณช่วยลดอาการคันและช่วยลดอาการผดผื่นตามผิวหนัง
เพียงนำขมิ้นชันสดมาล้างให้สะอาด โขลกให้ละเอียด บีบน้ำที่ได้นำมาทาผิว
หลังอาบน้ำเช้า-เย็น แต่อาจจะมีสีของขมิ้นติดตามเสื้อผ้าที่สวมใส่
-
ผิวมะกรูด น้ำมันที่ผิวของมะนาวและมะกรูด จะช่วยเคลือบผิว ให้ชุ่มชื้น ลดอาการคัน
ลดการอักเสบ โดยนำมะนาวที่ใช้แล้ว ส่วนบริเวณผิวด้านนอกของมะนาว
มาทาผิวบริเวณที่แห้งคัน เช้า-เย็น ก็จะช่วยลดอาการคันได้
การดูแลสุขภาพด้วยการอาบสมุนไพร
การอาบน้ำอุ่นในฤดูหนาวจะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
เพราะในฤดูหนาว คนส่วนใหญ่มักจะเป็นหวัด คัดจมูก และคันตามผิวหนัง
ซึ่งหากนำสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยลดอาการคัน มาต้มอาบแทนน้ำเปล่า
ก็จะช่วยบรรเทาอาการคันได้ดี สมุนไพร ที่หาได้ง่าย ที่ควรนำมาต้มมีดังนี้
-
ยอดผักบุ้ง จำนวน 5 ยอด ใช้รักษาอาการคัน
-
ใบมะกรูด จำนวน 3-5 ใบ แก้วิงเวียน ช่วยให้หายใจสบาย
-
ต้นตะไคร้ จำนวน 3 ต้น บำรุงธาตุไฟ
-
หัวไพล จำนวน 2-3 หัว ลดอาการอักเสบ ปวด บวม
-
ใบหนาด จำนวน 3-5 ใบ ช่วยบำรุง แก้โรคผิวหนัง น้ำเหลือง
-
หัวขมิ้นชัน จำนวน 2-3 หัว ช่วยสมานแผล แก้คันตามผิวหนัง
-
การบูร จำนวน 15 กรัม ช่วยบำรุงหัวใจ
-
หัวหอมแดง จำนวน 3-5 หัว แก้หวัดคัดจมูก
เพียงนำสมุนไพร
ทั้งหมดมาต้มรวมกัน ผสมน้ำเย็นให้พออุ่น แล้วนำมาอาบ
สรรพคุณของสมุนไพรก็จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ลดอาการคันตามผิวหนัง
ช่วยให้หายใจโล่ง แค่นี้สาว ๆ ก็จะรู้สึกสบายตัว ไม่ต้องกังวลกับฤดูหนาวแล้วค่ะ
เลือกรับประทานผลไม้หนาว
สตรอว์เบอร์รี่
อุดมด้วยวิตามินซี มีประโยชน์ต่อเหงือก และฟัน เมล็ดเล็ก ๆ ที่กระจายตามผลของสตรอว์เบอร์รี่จัดเป็นแหล่งไฟเบอร์อย่างดี
นอกจากนี้ยังมี โฟเลท โพแทสเซียม และแอนตี้ออกซิแดนท์ คุณค่าต่าง ๆ
เหล่านี้ทำให้ผลไม้ชนิดนี้ดีต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัวค่ะ
เพราะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และมะเร็งชนิด ต่าง ๆ และนี่คือเหตุผลที่คุณควรกินสตรอว์เบอร์รี่
แอปเปิ้ล
นอกจากรูปทรง สีสันที่สวยงาม และความอร่อยที่ซ่อนอยู่ในเนื้อกรอบ ๆ
แล้ว แอปเปิ้ลยังมีแร่ธาตุมากมายทั้งโพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม ซีลิเนียม
วิตามินเอ วิตามินซี โฟเลท ซึ่งสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์ และยังมีวิตามินอี
ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลที่สำคัญ ผลแอปเปิ้ลยังมีเส้นใยที่เรียกว่าเพคติน ซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้เกิดการบีบตัวมาก
เหมาะกับคนที่เป็นโรคท้องผูก ป้องกันมะเร็งลำไส้ได้อย่างดี
ลูกแพร์
เป็นผลไม้ที่มาพร้อมลมหนาวอีกชนิดที่มีรสหวานฉ่ำ อุดมไปด้วยไฟเบอร์
มีแร่ธาตุอย่างสังกะสี เหล็ก อุดมไปด้วยวิตามินซี อี และบีบางชนิด
แถมยังมีเอนไซม์ที่ชื่อไฟซิน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยย่อย เป็นยาระบายอ่อน ๆ
เหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องขับถ่ายลำบากเป็นอย่างยิ่ง
กีวีฟรุต
กีวีเพียงหนึ่งหรือครึ่งลูกจะมีวิตามินซีเทียบได้กับส้ม 1 ผลเลยล่ะ
นอกจากนี้ เมล็ดสีดำในกีวียังเป็นแหล่งของใยอาหารชั้นดี
และยังมีปริมาณของโปแทสเซียมอยู่ในระดับใกล้เคียงกับกล้วยหอม มีวิตามินเอ และอี
เปลือกของกีวีเป็นแหล่งของสารแอนตี้ออกซิแดทน์ เมล็ดในของกีวีมีกรดโอเมก้า 3
แถมยังมีแคลอรี่ต่ำด้วยค่ะ เพราะกีวี 1 ผล จะให้พลังงานเพียง 46 กิโลแคลอรี่ กีวีฟรุตเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน
และทางพฤกษศาสตร์กำหนดให้กีวีเป็นผลไม้ตระกูลเบอรี่ เหมือนกับเสาวรส
หรือกระทกรกนั่นเอง
องุ่น
จริงอยู่ที่องุ่นจะออกผลได้ตลอดปี
แต่ฤดูหนาวเป็นช่วงที่องุ่นมีรสอร่อยที่สุดค่ะ
องุ่นเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่สำคัญคือน้ำตาล ที่เป็นทั้งซูโคส และกลูโคส
นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้ง วิตามินเอ วิตามินซี
ฟอสฟอรัส แคลเซียม และเหล็ก ซึ่งเป็นประโยชน์ในระบบการทำงานประสาท
และการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
http://women.sanook.com/8615